การให้ผู้อพยพย้ายถิ่น-แรงงานข้ามชาติเข้าถึงบริการสุขภาพ เป็นความสำคัญทั้งเพื่อความเสมอภาคและความมั่นคงด้านสุขภาพสำหรับเราทุกคน
วันที่ 18 ธันวาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติกำหนดให้เป็น “วันผู้อพยพย้ายถิ่นสากล” (International Migrants Day) นับเป็นวาระอันเหมาะสมที่จะพูดถึงความสำคัญของการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่ายของแรงงานข้ามชาติทุกคนในประเทศไทย
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เราเห็นว่า ไม่มีผู้ใดปลอดภัยได้แท้จริง จนกว่าทุก ๆ คนในสังคมนั้นจะปลอดภัย จากรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยในรอบที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม 2563 มีต้นกำเนิดจากชุมชนผู้อพยพย้ายถิ่นแรงงานพม่าในจังหวัดสมุทรสาคร (1) ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มักเผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ หน่วยงานด้านสาธารณสุขต่าง ๆ ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและได้พยายามพัฒนาระบบการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติทุกคนในประเทศไทย ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น เดือนธันวาคม 2564 ที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้ออกมติ 14.2 ว่าด้วยการคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มประชากรเฉพาะในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม
คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ฟรี
แต่แรงงานข้ามชาติจำนวนมากที่ยังคงเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ
ช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในการขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับพลเมืองไทย กล่าวคือคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ฟรี ภายใต้ระบบประกันและการคุ้มครองสุขภาพต่าง ๆ ตาม พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 แต่อย่างไรก็ตามการเข้าถึงสวัสดิการดังกล่าวของกลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องและมีความท้าทายมาก
จำนวนแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยมีประมาณ 4 ล้านคน (2) และร้อยละ 87 หรือประมาณ 2.5 ล้านคนของจำนวนแรงงานข้ามชาติดังกล่าวจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย (3) มีหลักประกันสุขภาพคุ้มครอง โดยคนกลุ่มนี้สามารถลงทะเบียนเพื่อสม้ครโครงการประกันสุขภาพภายใต้ โครงการประกันสังคม กระทรวงแรงงาน หรือ กองทุนประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว กระทรวงสาธารณสุข แต่ยังมีแรงงานอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ลงทะเบียนจึงไม่มีความคุ้มครองใด ๆ
นอกจากนี้คาดว่าจำนวนแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยมีประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งไม่มีประกันสุขภาพ เมื่อคนกลุ่มนี้เจ็บป่วยจนต้องใช้บริการการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลรัฐหรือคลินิกเอกชน ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด และอาจต้องเผชิญกับค่ารักษาจำนวนมากจนมิอาจรับผิดชอบไหว บางกรณีโรงพยาบาลรัฐเองก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งในพื้นที่ที่มีแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ประสบปัญหาการขาดดุลงบประมาณ (4) ซ้ำร้ายแรงงานเหล่านี้มีความวิตกกังวลว่าอาจจะถูกรายงานต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและถูกส่งกลับหากไปรับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของรัฐ จึงมักจะดูแลรักษาตนเอง ยกเว้นเสียแต่จะป่วยหนักเข้าจริง ๆ ซึ่งระหว่างนั้นเชื้อโรคจากผู้ที่ป่วยก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว
เศรษฐกิจไทย
ต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติเป็นอย่างยิ่ง
แรงงานข้ามชาติมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยโดยมีส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ร้อยละ 4.3% ถึง 6.6% (5) และประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลกที่มีการจ้างงานแรงงานข้ามชาติ (6) ธุรกิจในหลายภาคส่วนพึ่งพาอาศัยการจ้างงานของแรงงานอพยพอย่างมาก อาทิเช่น อุตสาหกรรมการประมง การก่อสร้าง เกษตรกรรม และงานบ้าน โดยแรงงานข้ามชาติเหล่านี้จะรับจ้างทำงานประเภทที่ ยาก (difficult) สกปรก (dirty) และอันตราย (dangerous) (7)
อย่างไรก็ตาม การจ้างแรงงานข้ามชาติเป็นประเด็นอ่อนไหวที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในสังคมไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาอุปสรรคเรื่องการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายของแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาในประเทศไทย โดยคนมักจะเข้าใจว่าเป็นความผิดของแรงงานข้ามชาติฝ่ายเดียวในการไม่ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง แต่ในความเป็นจริงนายจ้างมีบทบาทสำคัญในการขึ้นทะเบียนแรงงาน นอกจากนี้การขึ้นทะเบียนใช้ระยะเวลานาน ทั้งมีค่าใช้จ่ายสูง มีขั้นตอนที่ซับซ้อนยากต่อการทำความเข้าใจ แรงงานข้ามชาติจำนวนมากรับจ้างทำงานในลักษณะชั่วคราวแบบรายวัน ในสถานที่ต่างกันไป ทำให้ยากและไม่สะดวกต่อการขึ้นทะเบียนนายจ้างเฉพาะราย หรือภาระการบริหารจัดการเปลี่ยนนายจ้าง
แม้จะมีความซับซ้อนดังกล่าว แรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายก็ยังถูกตีตรากล่าวโทษ ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องการคุ้มครองสุขภาพแรงงานข้ามชาติ ความรู้สึกของคนไทยจึงไม่ต้องการให้เงินภาษีถูกนำไปใช้เป็นสวัสดิการเพื่อดูแลสุขภาพให้แก่ผู้ที่ทำผิดกฎหมายเหล่านี้
แก้ปัญหาด้วยโครงการแนวคิดใหม่
กองทุนเอ็มฟันด์ (Migrant FUND)
หลายทศวรรษที่ผ่านมา การดูแลสุขภาพของแรงงานข้ามชาติเป็นหัวข้อถกเถียงเชิงนโยบายที่สำคัญท่ามกลางทัศนคติที่มีความอ่อนไหวและเข้าใจคลาดเคลื่อน เกิดการริเริ่มโครงการแนวคิดใหม่ที่ชื่อ “เอ็มฟันด์” (M-FUND) โดย มูลนิธิดรีมลอปเม้นท์ เป็นกองทุนสุขภาพต้นทุนต่ำ ไม่แสวงหาผลกำไร สำหรับดูแลสุขภาพผู้ย้ายถิ่นผู้ซึ่งไม่มีประกันสุขภาพจากรัฐ เอ็มฟันด์เริ่มดำเนินงานลักษณะโครงการนำร่องในเดือนกันยายน 2560 ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตามแนวชายแดน ต่อมาได้ขยายพื้นที่ไปทั่วจังหวัดตาก สระแก้ว กาญจนบุรี เชียงราย อุบลราชธานี และตราด
แรงงานข้ามชาติที่สนใจเข้าร่วมสามารถลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่เอ็มฟันด์ที่ทำงานในชุมชน โดยสมทบเงินเป็นรายเดือน เดือนละ 100 บาท/คน (แผนพื้นฐาน) จะได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ สูงสุดถึง 5,000 บาท/ปี สำหรับบริการประเภทผู้ป่วยนอก และ 45,000 บาท/ปี สำหรับบริการประเภทผู้ป่วยใน
ข้อมูลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 มีโรงพยาบาลรัฐกว่า 200 แห่ง ให้ความร่วมมือกับโครงการให้บริการด้านสุขภาพแก่สมาชิกเอ็มฟันด์ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 มีแรงงานข้ามชาติลงทะเบียนแล้วมากถึง 69,000 คน ครอบคลุมการเข้ารับบริการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกจำนวน 82,000 ครั้ง และประเภทผู้ป่วยในอีก 12,000 ครั้ง แม้ว่าตัวเลขนี้จะเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนของแรงงานข้ามชาติที่ยังไร้ประกันสุขภาพจากรัฐ แต่กองทุนนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากแรงงานข้ามชาติด้วยความพึงพอใจ เช่นเดียวกันกับนายจ้าง รวมถึงโรงพยาบาลของรัฐ
“เราเข้าร่วมเป็นพันธมิตรโครงการเอ็มฟันด์มาหลายปีแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นโครงการที่ดีมาก ๆ กลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่นเหล่านี้เข้ามาทำงานในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก เราก็ให้บริการเหมือน ๆ คนไทยทุกอย่างไม่แตกต่าง และเราให้ความสำคัญกับเอ็มฟันด์ จึงให้ความร่วมมือสนับสนุนอย่างเต็มที่” อนุชาติ คล่องยุทธ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร โรงพยาบาลโคกสูง จังหวัดสระแก้ว หนึ่งในโรงพยาบาลที่ร่วมมือกับโครงการ กล่าว
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
มูลนิธิดรีมลอปเม้นท์ ตระหนักดีว่าโครงการเอ็มฟันด์ที่ปัจจุบันดูแลสมาชิกเพียง 69,000 ราย จากแรงงานข้ามชาติไร้ประกันสุขภาพมากกว่า 1 ล้านคนนั้น เป็นจำนวนเล็กน้อยมากจนมิอาจส่งผลในระดับนโยบาย มูลนิธิฯ เป็นเพียงหนึ่งในผู้สนับสนุนให้รัฐบาลผู้กำหนดนโยบายได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ด้านสาธารณสุขทั้งในระดับปัจเจกและระดับสาธารณะ หากแรงงานข้ามชาติทุก ๆ คนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่คำนึงถึงสถานะการจดทะเบียน เพราะโดยหลักการแล้วแรงงานข้ามชาติทุกคนมีส่วนต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น อีกทั้งแรงงานข้ามชาติทุกคนเป็นผู้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในการซื้อสินค้าและบริการ
และที่สำคัญที่สุดคนไทยทุกคนจะยังคงมีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ตราบใดที่ “ทุกคน” ในสังคมยังไม่ปลอดภัยอย่างแท้จริง เมื่อยังมีคนร่วมสังคมเดียวกันอีกถึง 1 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับการดูแลสุขภาพใด ๆ เลย
นายแพทย์นิโคลาส์ ดูริเยร์
ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ มูลนิธิดรีมลอปเม้นท์
อ้างอิง:
BBC News ไทย, โควิด-19: สธ. ประกาศการระบาดระลอกใหม่ในไทย ผู้ติดเชื้อจากกรณีสมุทรสาครเกือบ 700 รายใน 3 วัน, 20 ธันวาคม 2563
International Office for Migrations, Thailand. Labor motility and social inclusion. 2019
กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นโยบายและแนวทางการดำเนินงาน การตรวจสุขภาพ และประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติ หน้า 3, มกราคม 2566
จิราลักษณ์ นนทารักษ์ และคณะวิจัย, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, รูปแบบระบบบริการที่เป็นมิตรสำหรับคนต่างด้าวในประเทศไทย : งบประมาณการจัดบริการสุขภาพสำหรับคนต่างด้าว, 20 กรกฎาคม 2563
International Labour Organization (ILO) report 2017, How Immigrants Contribute to Thailand’s Economy
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย, BOT พระสยาม MAGAZINE ฉบับที่ 2/2564 ข้อเท็จจริงและข้อสรุปเชิงนโยบาย แรงงานข้ามชาติในประเทศไทย, มีนาคม-เมษายน 256
อภิยุกต์ อำนวยกาญจนสิน, กองวิจัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, แรงงานข้ามชาติในภาคอุตสาหกรรมไทย “แต้มต่อหรือแค่ถ่อค้ำ”, สิงหาคม 2562
เว็บไซต์ Matichon Online (18 ธันวาคม 2566)
เว็บไซต์ Matichon Weekly (18 ธันวาคม 2566)
Opmerkingen